Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

Posted in Uncategorized | Leave a comment

หนังสือดีๆๆฟรีค่ะ

แต้งส์ เมล์ที่ส่งต่อมาค่ะ

รหัส
หนังสือ / ผู้เขียน
ขนาดไฟล์
โหลดไฟล์
BOOK0001
คิริมานนทสูตร
พระสูตรจากพระไตรปิฎก
249 KB.
BOOK0002
ชีวิตนี้น้อยนัก และ วิธีสร้างบุญบารมี
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
453 KB.
BOOK0003
จิต คือ พุทธะ
โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
259 KB.
BOOK0004
ทางเอก ( การปฏิบัติธรรมแนวเจริญสติ )
โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
866 KB.
BOOK0005
คำถามและคำตอบแนวทางการปฏิบัติธรรม
โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท
251 KB.
BOOK0006
การทำความรู้สึกตัว
โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
144 KB.
BOOK0007
จิตเป็นแก่นของชีวิต
โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
211 KB.
BOOK0008
สิ้นโลกเหลือธรรม
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
380 KB.
BOOK0009
เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน
โดย ดังตฤณ
1,060 KB.
BOOK0010
จิตสดใสแม้กายพิการ
โดย อ.กำพล ทองบุญนุ่ม
994 KB.
BOOK0011
มนต์คลายโกรธ 2551
โดย ทูตใจ
6,000 KB.
BOOK0012
การฝึกสติเพื่อสมาธิ
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
273 KB.
BOOK0013
ประทีปส่องธรรม และ วิถีแห่งความรู้แจ้ง
โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
278 KB.
BOOK0014
มีชีวิตที่คิดไม่ถึง
โดย ดังตฤณ
955 KB.
BOOK0015
รวมคำสอนของหลวงปู่
โดย หลวงปู่บุดดา ถาวโร
1,930 KB.
BOOK0016
ธรรมนูญชีวิต
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
352 KB.
BOOK0017
พิจารณากาย พิจารณาจิต
โดย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
826 KB.
BOOK0018
รวมคำสอนของพระอาจารย์ใหญ่สายพระป่า
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
5,000 KB.
BOOK0019
วิมุตติปฏิปทา และ แด่เธอผู้มาใหม่
โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
534 KB.
BOOK0020
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 1 – 5
โดย ดังตฤณ
3,240 KB.
BOOK0021
อนาลโยวาทะ
โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
1,790 KB.
BOOK0022
จิตมุ่งสู่ความหลุดพ้น
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
1,400 KB.
BOOK0023
ใจเป็นใหญ่
โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
315 KB.
BOOK0024
แสงส่องใจ
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
663 KB.
BOOK0025
คิดจากความว่าง
โดย ดังตฤณ
183 KB.



 

รหัส
หนังสือ / ผู้เขียน
ขนาดไฟล์
โหลดไฟล์
BOOK0026
พุทธธรรม ( ฉบับเดิม )
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
1,240 KB.
BOOK0027
น้อมลงที่ใจ
โดย หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
683 KB.
BOOK0028
ภาวนารู้เท่าทัน
โดย หลวงปู่หลุย จันทสโร
316 KB.
BOOK0029
คู่มือการทำความรู้ตัว
โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
1,880 KB.
BOOK0030
กรรมพยากรณ์ ตอน ชนะกรรม
โดย ดังตฤณ
3,650 KB.
BOOK0031
ความเชื่อเรื่องกรรม
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
683 KB.
BOOK0032
ทางพ้นทุกข์
โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท
512 KB.
BOOK0033
เข้าถึงพระไตรลักษณ์
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
655 KB.
BOOK0034
สติรักษาจิต
โดย หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
384 KB.
BOOK0035
ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
1,090 KB.
BOOK0036
พระอานนท์พุทธอนุชา
โดย อ.วศิน อินทสระ
691 KB.
BOOK0037
ช้อปปิ้งบุญ และ ธรรมะรอบกองไฟ
โดย ขวัญ เพียงหทัย
847 KB.
BOOK0038
กรรมลิขิต
โดย ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ
401 KB.
BOOK0039
พุทธวิธีควบคุมความคิด
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
228 KB.
BOOK0040
วาทะดังตฤณฉบับชวนคิด และ ความรักหลากสี
โดย ดังตฤณ
858 KB.
Posted in Uncategorized | Leave a comment

เราต้องเข้าใจกับความเป็นจริงของธรรมชาติ

เราต้องเข้าใจกับความเป็นจริงของธรรมชาติ
ชีวิตคือกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง
สรรพชีวิตทั้งหลายที่อยู่รายรอบตัวเราไม่มีอะไรคงที่แม้แต่อย่างเดียว
ความเป็นจริงของธรรมชาติคือความไม่เที่ยง
เมื่อเรามีโอกาสที่ได้อยู่กับสรรพสิ่งทั้งหลายที่เรารู้ว่ามันไม่เที่ยงแล้วก็ทนอยู่ได้ยาก
มันเป็นทุกขัง มันทนอยู่ได้ยาก เมื่อมันทนอยู่ได้ยากมันจึงไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนของเราแม้แต่อย่างเดียว

ความจริงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดอยู่

 เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกใจ เข้าใจในสิ่งนั้น ไม่ใช่อยู่อย่างฝืนใจ
มีชีวิตอย่างคนที่ฝึกใจให้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติจึงต้องฝึกฝน
ถ้าเราฝืนใจไม่ยอมรับความเป็นจริงของธรรมชาติ เราก็จะอยู่อย่างคนที่ทุกข์

การเตรียมจิตวิญญาณของเราให้เข้าถึงสภาวะของความไม่เที่ยงทนอยู่ได้ยาก

และไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นเพียงอย่างเดียวจึงเป็นสภาวะของผู้ รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ขอให้ท่านมีชีวิตอย่างคนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงด้วยปัญญาของท่าน

เข้าใจถึงความเป็นจริงที่เราเรียกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นั่นคือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ฝึกจิตวิญญาณของเราให้เข้าใจเรื่องนี้
ความรู้อย่างนี้เราเรียกว่าปัญญา ขอให้ท่านมีชีวิตอย่างคนที่มีปัญญา

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ข้าวผัดปู

thank you ทั้งสองบล็อก นะคะ  หิวค่ะ 

  

ข้าวผัดปู

 

 

 

 

เครื่องปรุงข้าวผัดปู

 

ข้าวสวย                                                                                 1          ถ้วย

เนื้อปูนึ่งสุก                                                                          ¼            ถ้วย

ไข่ไก่                                                                                      1              ฟอง

ต้นหอมซอย                                                                         ½            ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับ                                                                         1              ช้อนชา

พริกไทยป่น                                                                          ½            ช้อนชา

น้ำตาลทราย                                                                          ½            ช้อนชา

ซีอิ๊วขาว                                                                                 1          ช้อนโต๊ะ

น้ำมัน                                                                                    3              ช้อนโต๊ะ

 

 

 

วิธีทำข้าวผัดปู

 

  1.   ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่กระเทียม เจียวพอหอม ใส่ไข่ ผัดยีให้กระจาย พอไข่สุก ใส่ข้าว ผัดพอทั่ว ใส่เนื้อปู (แบ่งไว้โรยหน้าเล็กน้อย) ผัดให้เข้ากันดี
  2. ปรุงรสด้วยพริกไทย น้ำตาล ซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ ยกลง
  3. ตักข้าวผัดปูใส่จาน โรยเนื้อปู ต้นหอมซอย แต่งด้วยผักชี รับประทานข้าวผัดปูกับต้นหอม แตงกวา เสิร์ฟพร้อมมะนาว พริกน้ำปลา

 

อีกสูตรค่ะ

พอดีมีเพื่อนท่านหนึ่งอยากได้สูตรข้าวผัดง่ายๆ ก็เลยเอาสูตรข้าวผัดปูมาลงให้ค่ะ

เป็นข้าวผัดปูที่ใส่เนื้อปูแช่แข็งของพรานทะเลซึ่งมีติดตู้เย็นอยู่ ไม่ทราบว่าใครซื้อมา เลยจัดการซะ เนื้อมันเลยไม่เป็นก้อนสวยงามผัดๆไปละลายหายไปกับข้าวซะงั้น

ถ้าใครจะทำขอแนะนำเนื้อปูก้อนๆที่ขายตามห้างดีกว่านะคะ จะอร่อยกว่าค่ะ เอาละ มาดูเครื่องปรุงกันเลย

เครื่องปรุง

ข้าวสวย 2 จานใหญ่ๆ หุงอย่าให้แฉะ
ไข่ไก่2ฟอง
เนื้อปูแกะ50-100กรัม (แล้วแต่ทุนทรัพย์)
แครอทหั่นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่เล็กน้อยพอเป็นสีสัน
ต้นหอมซอย 2 ต้น
หอมใหญ่หั่นลูกเต๋า ครึ่งหัวใหญ่ หรือ 1 หัวเล็ก
กระเทียบสับละเอียด5-6กลีบ
น้ำมันพืช 3-4 ช้อนแกง
น้ำปลาดี 2 ช้อนแกง
น้ำตาลทราย 1 ช้อนแกง
น้ำมันงา 1 ช้อนชา
น้ำมันหอย 1 ช้อนแกง
แตงกวาสด
ต้นหอมทานสด


วิธีทำ

1.นำข้าวสวยที่ทิ้งไว้จนเย็น มาขยี้ให้ร่วนไม่เป็นก้อน (มือเลยค่ะล้างมือให้สะอาดก่อนนะคะ) จากนั้นนำน้ำปลา น้ำมันหอย น้ำตาลทราย น้ำมันงา คลุกลงในข้าวให้เข้ากัน พักไว้
2.เตรียมผักให้เรียบร้อย (แครอท หอมใหญ่ ต้นหอมซอย กระเทียบสับ)
3.นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป1ช้อน พอน้ำมันร้อน ให้ตอกไข่ใส่ลงไปคนๆๆทันทีจนไข่เริ่มสุกแต่ยังเป็นน้ำนิดๆให้ตักขึ้นมาใส่ชามพักไว้
4.นำกระทะใส่น้ำมันลงไป3-4ช้อนแกง พอน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมลงไปเจียวให้หอม ใส่ข้าวที่ปรุงรสไว้พอดีแล้วลงไปผัด ผัดให้แห้งๆ ใส่ไข่ที่เรากวนไว้เกือบสุกลงไปผัดกับข้าว แล้วใส่เนือปูแกะลงไปผัด ใช้ไฟแรงๆ
5.พอสุกดีก็ใส่แครอทลงไปผัดตามด้วยหอมใหญ่ ผัดจนแครอทสุกดี ก็ชิมรส ขาดอะไรก็เติม อย่าให้เค็มมากนะคะ เดี๋ยวเราจะมีน้ำปลาพริกใส่ได้อีก พอชิมรสได้ตามชอบก็ ปิดไฟ ใส่ต้นหอมซอยลงไปคลุกๆให้ทั่ว ตักใส่จานได้เลย

***เคล็ดไม่ลับ
1.ข้าวผัดต้องแห้งๆถึงจะอร่อย ข้าวจึงไม่ควรนิ่มหรือแฉะเกินไป
2.ไข่ที่จะใส่ควรรวนให้สุกก่อนจึงใส่ในข้าว เพราะการตอกไข่ลงในข้าวเลยจะทำให้ข้าวแฉะ ไม่อร่อย
3.การปรุงรสข้าวก่อนผัดทำให้รสชาติเข้าเนื้อและทั่วถึง และไม่แฉะ

ทอดไข่เป็ดดาวซักฟอง แบบไข่ขาวกรอบๆไข่แดงยางมะตูม ทำน้ำปลาพริก โดย ใช้น้ำปลาดี น้ำมะนาว พริกขี้หนูซอย หอมแดงซอย จะยิ่งอร่อยค่ะ

แกล้มกับแตงกวาสดแช่เย็น ต้นหอมทั้งต้นแช่เย็น อร่อยสุดไปเลย

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ต้มยำกุ้ง น้ำใส

thank you blog  http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=blogangel&group=18

ต้มยำกุ้ง น้ำใส


ทำวันที่ 22/3/10 ความอร่อย 8/10

+++++++++++

ส่วนประกอบ สำหรับ 1 ชาม

 

น้ำสต็อก 350 กรัม (1 ½ ถ้วย)

กุ้งสด 250 กรัม (กุ้งขาวใหญ่ 15 ตัว)

เห็ดฟาง 100 กรัม

 

หัวหอมแดง 3 หัว (ไม่ได้ใส่)

ตะไคร้ 2 ต้น

ข่าแก่ 1 หัว

ใบมะกรูด 5 ใบ

รากผักชี 2 ราก

ผักชี 2 ต้น

 

เครื่องปรุงรสน้ำใส

น้ำมะนาว 2-3 ลูก (2-3 ชต)

พริกขี้หนูเม็ดเล็ก 20 เม็ด (2 ชต)

น้ำปลาดี 2 ชต.

น้ำพริกเผา ตราฉั่วฮะเส็ง 1 ชต. (ผสมกับน้ำสต็อก 2ชต) ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ

 

เครื่องปรุงรสน้ำข้น

 น้ำมะนาว 3 ลูก (3 ชต)

พริกขี้หนูเม็ดเล็ก 20 เม็ด (2 ชต)

น้ำปลาดี 2 ชต.

น้ำพริกเผา ตราฉั่วฮะเส็ง 1 ชต. (ผสมกับนมข้นจืด)

นมข้นจืด 2 ชต.

+++++++++++

 

การเตรียมส่วนประกอบ

1. ล้างผักทุกชนิด  ( เห็ด พริก มะนาว ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด ผักชี)

2. เห็ดฟาง ฝานดินออก ฝานโคนบางๆ ล้างแล้ว  ผ่า2 หรือ ผ่า4

3. พริกบุบแตก ใส่ถ้วย บีบน้ำมะนาว 3 ลูก ใส่รวมกัน

4. ตักพริกเผาใส่ถ้วย ใส่น้ำสต็อก 2 ชต. คนเจนละลายเข้ากัน

5. ตะไคร้ทุบ หั่นบางๆ เฉียงๆ , ข่า ปลอกเปลือก ฝานบางๆ , ใบมะกรูดฉีกเส้นออก

    หอมแดง ปลอกเปลือก ล้าง ทุบ หั่น4

6. รากผักชี เอาเฉพาะส่วนสีขาว ล้างให้เกลี้ยง บุบให้แตก

7. กุ้งสด ล้าง แกะเปลือกออกหมด ผ่าหลังเอาเส้นดำออก แยกหัว แยกมันกุ้ง

+++++++++++

 

วิธีทำน้ำสต็อก

1. ใส่น้ำลงหม้อ 500 กรัม (2 ½ ถ้วย) ตั้งไฟให้เดือด

2. พอน้ำเดือดใส่เปลือกกุ้ง หัวกุ้ง ตะไคร้ทุบหั่นท่อน 1 ต้น ใส่ รากผักชีทุบ 1 ราก ใส่พริกไทยเม็ด  5 เม็ด พอเดือดอีกครั้ง หรี่ไฟอ่อน

3. ต้มไฟอ่อน 10 นาที ห้ามคน จะเหม็นคาว  ช้อนฟองออก

4. ปิดไฟ กรอง ผ่านกระชอน  พักไว้เป็นน้ำสต็อก

+++++++++++

 

วิธีทำต้มยำกุ้ง

1. น้ำสต็อก 350 กรัม (1 ½ ถ้วย) ตั้งไฟจนเดือด ใส่รากผักชี ข่า ตะไคร้ หอมแดง

2. พอเดือดต้มจนเครื่องหอม 5 นาที ใส่เห็ดฟาง ใบมะกรูด ต้มจนเห็ดสุก

    (ถ้ามีปลา ปลาหมึก ให้ใส่พร้อมเห็ดฟาง เพราะสุกยากกว่ากุ้ง)

3. ใส่กุ้ง, มันกุ้ง ต้มไฟแรง 2 นาที ห้ามคนจะคาว

3. กดเบาๆให้กุ้งจมน้ำ ใส่พริกเผา พอเดือดแรงๆ ปิดไฟ

4. ปรุงรสใส่ชาม ไม่ปรุงในหม้อ ใส่พริก น้ำมะนาว ใส่น้ำปลา คนเข้ากัน

5. ตักต้มยำใส่ชามที่มีน้ำปรุงรส โรยผักชี

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ท๊อฟฟี่เค้ก

thank you bloggang http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=blogangel&month=31-03-2008&group=16&gblog=10

ท๊อฟฟี่เค้ก – สูตรจากซีดี


ความอร่อย 10 เต็ม

ส่วนผสมเนื้อเค้ก

แป้งตราพัด 125 กรัม
ผงฟู 1 ชช
ผงโกโก้ 2 ชต
กาแฟ 2 ชต (ไม่ใส่ก็ได้)
ไข่สด 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 175 กรัม
เนยสดละลาย 150 กรัม
เกลือ 1/4 ชช
โอวาเลต 7 กรัม (ไม่ใส่ก็ได้)

ส่วนผสมหน้าท็อฟฟี่เค้ก

เนยสด 150 กรัม
น้ำตาลทราย 110 กรัม
เม็ดมะม่วงอบกรอบ 170 กรัม
นมข้นจืด 60 กรัม
แป้งตราว่าว 30 กรัม (ใช้แป้งตราพัดแทนได้)
กาแฟ 1 ชช (ไม่ใส่ก็ได้)

Tips:
ส่วนผสมนี้ทำได้ 4 ปอนด์
ใส่ถาด 10.5 x 10.5 x 1.5 นิ้วได้ 1 ถาด

วิธีทำเนื้อเค้ก
1. แป้ง ผงฟู โกโก้ ร่อนรวมกัน เทผงกาแฟรวมกันพักไว้ เปิดไฟรอ
2. เตรียมถาดรองกระดาษไข, ละลายเนยในไมโครเวฟ
3. ใส่ไข่ ตีด้วยความเร็วสูงสุด ค่อยๆเติมน้ำตาลทราย ตีจนฟูและขึ้นขาวข้น ประมาณ 5-7 นาที (อย่าให้เกิดรอยระดับน้ำลดข้างอ่าง) จากนั้นตีความเร็วต่ำ 1 นาที เพื่อตัดฟองอากาศให้เนียนข้นและไม่มีฟอง (ถ้าเหลวแสดงว่าตีไม่ขึ้น)
4. ใส่แป้งและของแห้ง รีบคนด้วยหัวตีตะกร้อ ด้วยมือจากล่างขึ้นบน
5. ใส่เนยละลายต้องอุ่นๆ รีบคนด้วยหัวตีตะกร้อ ด้วยมือจากล่างขึ้นบน รีบใช้พายยางคนอีกทีเผื่อมีเนยจมก้น
6. เข้าอบ 200 องศา 15 นาที ด้วยไฟบนล่าง อบจนสุก ใช้มือแตะหน้าเค้กถ้าปริงตัวขึ้นก็ใช้ได้
7. อบเสร็จไม่ต้องเอาออกจากถาด ทำหน้าท็อฟฟี่มาราดทับบนพิมพ์ได้เลย แล้วเข้าอบหน้าอีกครั้ง

Tips :

-อ่างผสมห้ามมีไขมัน ไข่จะตีไม่ขึ้น ควรเอาอ่างและตะกร้อไปล้างและลวกด้วยน้ำร้อน

-ล้างพิมพ์ให้สะอาด รองกระดาษ ห้ามทาไขมัน ห้ามกระแทกพิมพ์ เมื่อผสมเสร็จรีบนำเข้าอบ ห้ามช้าไม่งั้นจะยุบตัว

วิธีทำหน้าท็อฟฟี่เค้ก

1. อบเม็ดมะม่วงให้กรอบแห้ง อร่อย อบไฟ 180 องศา 10 นาที
2. ใส่ทุกอย่างลงชาม ยกเว้นเม็ดมะม่วง
3. นำเข้าไมโครเวฟ 4-5 นาที เอาออกมาคนทุก 1 นาทีจนข้นเหนียว
ใส่เม็ดมะม่วง คนให้เข้ากัน
4. นำไปราดหน้าเค้ก
5. อบไฟบน 200 องศา 10-20 นาที จนหน้าเกรียมเหลืองสวย

วิธีตัดเค้กให้หน้าเรียบสวย

1. เมื่อราดหน้าเค้กแล้วพักไว้จนเย็นในถาด คว่ำถาดลงบนถาดหรือบนโต๊ะ แกะกระดาษไขออก
2. ใช้มีดตัดเค้ก ตัดลงไปถึงเนื้อเค้ก ใช้มีดทำครัวอันใหญ่ๆ สับซ้ำลงไปที่หน้าให้ขาดเป็นชิ้น

 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

การสร้างฟอร์ม

thank you
 
บทที่ 6
การสร้างฟอร์ม


1. รูปแบบการสร้าง Form

การสร้างแบบฟอร์ม (Form) ควบคุมด้วยแท็ก FORM และ INPUT โดยมีรูปแบบดังนี้

<FORM พารามิเตอร์>
<INPUT TYPE="TEXT" NAME="ชื่อของเท็กซ์บอกซ์" VALUE=”ค่าเริ่มต้น”
SIZE=ขนาดของเท็กซ์บอกซ์ MAXLENGTH=จำนวนตัวอักษรที่สามารถบันทึกได้>

</FORM>

     ตัวอย่างการใช้คำสั่ง form ในการลงทะเบียนสมัครสมาชิกเว็บไซต์

2. ตัวอย่างการสร้าง Form แบบต่าง ๆ

2.1 การสร้างที่ใส่ชื่อ
Username : <Input Type="text" size="15" maxlength="20">
Username :

2.2 การสร้าง password

Password : <Input Type="password" size="15" maxlength="25">
Password :

2.3 แปลความหมาย

<Input type="……"> คือการใส่ค่า Form ที่ต้องการเช่นต้องการ Form ใส่ชื่อ ก็ให้ใส่ Type ไว้ว่า Text
หรือจะใส่ password ก็ให้ใส่ Type ไว้ว่า password
<Input size="….">ใส่ขนาดความกว้างของ Form ค่าเป็นตัวเลข เช่น 15
<Input maxlength="…."> ขนาดความจุของตัวอักษรซึ่งถ้าเกินจำนวนที่ระบุจะไม่กรอกเข้าไปใน input
มีค่าเป็นตัวเลข เช่น 25

2.4 การสร้างปุ่ม Button

การสร้างปุ่ม Button ใน Form สามารถทำได้ทั้งปุ่มส่งหรือรับข้อมูล (Submit) และปุ่มยกเลิกการทำงานหรือ Reset
<Input type="submit" value="ส่งข้อมูล" name="data">

<Input type="reset" value="ลบข้อมูล" name="data">

แปลความหมาย
type ของการส่งคือ submit และ type ของการรีเซ็ตคือ reset ส่วน name เป็นการกำหนดชื่อข้อมูลเพื่อส่งไปประมวลผล

2.5 การสร้างปุ่ม Checkbox

checkbox เป็นรูปแบบการเลือกชนิดเลือกได้หลายรายการ มีประโยชน์มากในการสร้างตัวเลือกที่ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ข้อมูลลงไป เพียงแต่คลิกเลือกที่ปุ่มนั้นๆ ก็เป็นการกรอกเพื่อรับข้อมูล ปุ่มแบบ checkbox สามารถกำหนดค่าได้หลายค่าหรือเลือกได้หลายตัวเลือก
รูปแบบ
<Input type="checkbox" name="ชื่อของปุ่ม checkbox นี้" value="ค่าที่ส่งไปประมวลผลเมื่อกระทำที่ปุ่มนี้">
ตัวอย่าง
<Input type="checkbox" name="check" value="1">รายได้มากกว่า30000บาท

รายได้มากกว่า30000บาท

2.6 การสร้างปุ่ม Radiobox
รูปแบบจะคล้ายๆกับ checkbox เพียงแต่สามารถเลือกข้อมูลเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้นเหมาะสำหรับนำไปใช้การเลือกคำถามที่มีตัวเลือก 2 ตัวเลือกเช่นแบบทดสอบ หรือ เลือกเพศ เป็นต้น
รูปแบบ
<Input type="radio" name="ชื่อของปุ่ม checkbox นี้" value="ค่าที่ส่งไปประมวลผลเมื่อกระทำที่ปุ่มนี้">
ตัวอย่าง
<Input type="radio" name="sex" value="0">เพศชาย
<Input type="radio" name="sex" value="0">เพศหญิง
เพศชาย
เพศหญิง

2.7 การสร้างที่กรอกข้อความที่มีจำนวนมาก ๆ

การสร้างฟอร์มรับข้อมูลแสดงความคิดเห็นจะใช้คำสั่ง TEXT AREA ในการรับข้อมูลที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งบรรทัด โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้

<TEXTAREA rows="จำนวนแถว" cols="จำนวนตัวอักษรในแต่ละแถว">
</TEXTAREA>

ตัวอย่าง
<TEXTAREA rows="5" cols="20">
</TEXTAREA>

สามารถเพิ่มขนาดของ Textarea ได้โดยไปตั้งค่าที่ Rows หรือ Cols

2.8 การสร้างดรอปดาวน์ลิสต์ (Drop Drown List)
การสร้างดรอปดาวน์ลิสต์ (Drop Drown List) เป็นการรับข้อมูลจากการคลิกเมาส์เลือกรายการ ที่กำหนดไว้ โดยจะเลือกได้เพียงหนึ่งรายการ โดยมีรูปแบบการใช้คำสั่งดังนี้

<SELECT>
<OPTION SELECTED>—เลือกข้อความ—
<OPTION VALUE=1>ชื่อตัวแปร1
<OPTION VALUE=2>ชื่อตัวแปล 2
</SELECT>

—เลือกข้อความ— ชื่อตัวแปร1 ชื่อตัวแปล 2

แปลความหมาย
<SELECT>……</SELECT>คือคำสั่งเริ่มต้นปุ่มทางเลือก
<OPTION VALUE="….">ให้ใส่ค่าของตัวเลือกใน Value และใส่ขอความด้านนอก
<OPTION SELECTED> ตั้งค่าว่าคำสั่งนี้คือเป็นทางเลือกแรก

3. ตัวอย่างการประยุกต์ Form มาใช้งาน

<form name="register" action="reg_setup.php" method="post">
ชื่อ: <input type="text" name="firstname" size=13>
นามสกุล: <input type="text" name="surname" size=13>
Email: <input type="text" name="email" size=13>
เพศ: <input type="radio" name="sex" value="male">male <input type="radio" name="sex" value="female">female
รายได้: <select name="salary"><option selected>ไม่มีรายได้</option><option value="5000">5000 บาท</option><option value=">5000">มากกว่า5000บาท</option></select>
<input name="register" type="submit" value="ลงทะเบียน"><input name="reset" type="reset" value="ลบข้อมูล">
</form>

ชื่อ:
นามสกุล:
Email:
เพศ: male female
รายได้: ไม่มีรายได้ 5000 บาท มากกว่า5000บาท

กลับด้านบน

Posted in Uncategorized | Leave a comment

กิเลศ อยากอ่านหนังสืออีกแล้วค่ะ

คุณดำรงค์  วงษ์โชติปิ่นทอง

 

พัฒนาจิตใจและปัญญา

ในการทำงานและดำรงชีวิต


สี่พี่น้องตระกูล เกา

คนโง่
คนฉลาด
คนใจบริสุทธิ์
คนเจ้าปัญญา

ทั้งสี่คนนี้ มีทัศนคติ
และพฤติกรรม ต่างกัน

คนโง่
มักสร้างแต่ปัญหา
ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต
ไม่มีความรู้
จึงสร้างความสุขในระยะสั้น
แต่จะก่อเกิดความทุกข์ในระยะยาว

คนฉลาด
มีความรู้ใช้ความคิดก่อนที่จะลงมือทำ
มักบริโภคแต่สิ่งดีๆ เหลือกากที่ไม่ดีแล้วทิ้งไป
คนฉลาดใช้ชีวิตได้ดี พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
แต่บางครั้งก็อาจไม่มีความสุข
เพราะยึดติดกับความถูกต้อง
จึงต้องใช้ชีวิตด้วยความอึดอัด
และไม่เกิดความสุขในจิตใจ
แม้ในบั้นปลายของชีวิต

คนใจบริสุทธิ์
ใช้ชีวิตด้วยใจรักความดี
จิตใจดีงาม  จิตใจบริสุทธิ์
เปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
จนบางครั้งต้องพบกับความเดือดร้อนเอง
เป็นที่พึ่งพาของผู้อื่นในยามยาก
มักสร้างความสุขให้แก่ผู้อื่นได้
ส่วนความทุกข์ของตัวเองมักเก็บไว้ในใจคนเดียว
ชีวิตมีความสุข และทุกข์ปนกันไป
ขึ้นอยูกับสถานการณ์พาไป
ไม่ได้ใช้จิตใจที่ดีก่อให้เกิดสุขแก่ตัวเอง

คนเจ้าปัญญา
ใช้ชีวิตด้วยการรู้จักตนเอง
รู้จักโลก  รู้จักความไม่จีรังของชีวิต
ทุกสิ่งย่อมมีเกิด และมีดับไปตามกาลเวลา
รู้จักความสุขและความทุกข์
ที่จะวนเวียนสลับกันเข้ามา
เข้าใจเหตุ และผลของคนอื่น
เข้าใจหลักธรรมะอย่างแท้จริง
ซึ่งนำมาของหลักการใช้ชีวิต
ทั้งแก่ตนเองและครอบครัว

**การเปรียบเทียบมุมมอง
และพฤติกรรมของมนุษย์
โดยได้ใช้ พี่น้องสี่คนที่มีรูปร่าง-
ลักษณะภายนอกเหมือนกัน
เพราะเป็นฝาแฝด สี่คน

ซึ่งเป็นตัวแทนความเหมือนกันของมนุษย์
ที่มีรูปร่างลักษณะภายนอกเหมือนกัน
พูดภาษาเดียวกัน แต่มีความคิดทัศนคติ
ที่แตกต่างกัน  ความรูสึกภายในจิตใจต่างกัน
และพฤติกรรม แตกต่างกัน

ไม่มีใครบอกได้ว่า พฤติกรรมของใครผิดหรือใครถูก
คนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้
เพียงแต่การกระทำ ของใคร
จะสร้างความสุขให้แก่ตัวเอง
และผู้อื่นได้มากน้อยเพียงใด

การใช้ชีวิตของบางคน
สามารถทำให้เกิดความสุขเพียงชั่วคราว
แต่เกิดความทุกข์ถาวร
การกระทำของบางคน
สร้างความสุขให้กับผู้ใกล้ชิด
การกระทำของบางคนใชัปัญญา
ในการดำเนินชีวิต
จึงเกิดความสุขได้ในทุกกรณี

มนุษย์ทั้งหลาย ล้วนมีมุมมอง
และทัศนคติที่แตกต่างกัน
มนุษย์ทุกคน ต่างมีความคิดของตัวเอง
และมนุษย์ส่วนใหญ่ มักคิดว่า
ตัวเองถูกเสมอ นั่นคือมุมมองของตัวเอง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

นิ้วมือแต่ละนิ้ว ยังสั้นยาวไม่เท่ากัน ฉันใด

ฉันนั้น มนุษย์เราก็ย่อมมีความแตกต่างกัน

**แนวคิดการดำเนินชีวิตและบริหารจิตใจ
เพื่อการเรียนรู้ ชีวิต และทัศนคติ
ความคิดแง่บวกและลบของมนุษย์
เพราะมนุษย์ทุกคนต่างมีตัวตน
ซึ่งคิดว่าตนเองถูกเสมอ
จึงมีตัวอย่างคนทั้งสี่ประเภททีมี
ความประพฤติที่แตกต่างกัน แม้ในเรื่องเดียวกัน

เหมาะสำหรับ

นักศึกษา คนทำงาน นักธุรกิจ และ ผู้บริหาร
รวมทั้ง ผู้ที่กำลังค้นหา ความสุขของชีวิต
และ การใช้ปัญญา ในการดำเนินชีวิต
ไม่ลุ่มหลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกินไป
ดำเนินชีวิตตามหลักสัจธรรม

เดินทางสายกลาง

จากหนังสือ

เกามนุษย์

โดย คุณดำรงค์  วงษ์โชติปิ่นทอง

 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

คำถวายพระพรชัยมงคล ภูมิพลมหาราชา

คำถวายพระพรชัยมงคล ภูมิพลมหาราชา

คำถวายพระพรชัยมงคล ภูมิพลมหาราชา

"ภูมิพะละมะหาราชะวะรัสสะ  ชะยะมังคะละวะระทานะคาถา"

ภูมิพะโล มะหาราชา   ภูปาโล ทะสะธัมมิโก
เท์ว หิ วัสสะสะหัสสานิ  ปัญจัสสะตาธิกานิปิ
ปัญญาสะ อุตตะราเนวะ  ยัส์มิง โหนติ สุมังคะเล
ตัส์มิง สังวัจฉะเร ภัทเท  โส อะสีต์ยายุวัฑฒะโก
ชินัสสะ สาสะเน สัทโธ  ปะสันโน พุทธะมามะโก
ยะตีนัง สีละธารีนัง   โสปัตถัมภะทะโท สะมัง
อะยัง ภัททะมะหาราชา  วิทู รัฏฐะปะสาสะเน
เขมัญจะ สัมปะวัตเตติ   โสตถิญจะ รัฏฐะวาสินัง
เสฏโฐ เสฏฐันทะโท ราชา  ทะทะมาโน อะภิกขะณัง
ยัตถะ อันธะตะมัง โหติ  ทีปะโท วิยะ จักขุโท
ตัตถะ ทัยยานะ ปัชโชโต  สะมุปปาเทติ ผาสุกัง
ตัส์มา เสฏโฐ มะหาราชา  ทัยยินโท ธัมมะขัตติโย
ภิยโยโส ทัยยะวาสีนัง   จิรัง โหติ อะติปปิโย
ระตะนัตตะยานุภาเวนะ  กะตะปุญญานะ เตชะสา
ทีฆายุโก มะหาราชา   วัณณะวา จะ สุเขธิโต
พะลูเปโต อะนีโฆ จะ   อะโรโค โหตุ นิพภะโย
สัพเพ เทวานุโมทันตุ   เตชะวันโต ยะสัสสิโน
อะภิปาเลนตุ รักขันตุ   อิมัง ภูมิพะลัง สะทาติฯ

พระราชวิสุทธิดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต ป.ธ.9)    … ตรวจแก้
วุฒินันท์ กันทะเตียน ป.ธ.9     … แต่ง

คำอ่าน    
เท์ว  อ่านว่า ทะ-เว   (ออกเสียง ทะ  เร็วกว่าปกติ)  
ยัส์มิง  อ่านว่า ยัด-สะ-หมิง,  ตัส์มิง อ่านว่า ตัด-สะ-หมิง (ออกเสียง สะ เร็วกว่าปกติ)
อสีต์ยายุวัฑฒะโก  อ่านว่า  อะ-สี-ตะ-ยา-ยุ-วัด-ทะ-โก (ออกเสียง ตะ เร็วกว่าปกติ)
(แปลว่า เจริญพระชนมพรรษา แปดสิบพรรษา)

Posted in Uncategorized | Leave a comment

พุทธคุณ พาหุง มหากา

พุทธคุณ พาหุง มหากา

จากคำสอนหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

หลวงพ่อจรัญ " พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดูเคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์
อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ
บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากา" หายเลย
สติก็ดีขึ้นเท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา
จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล "


<<เริ่มสวด>>

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

๑. พุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

๒. ธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

๓. สังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

๔. พุทธชัยมงคลคาถา (ถวายพรพระ)

๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน – เม แปลว่าข้าพเจ้า)

๕. มหาการุณิโก

มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน – เม แปลว่าข้าพเจ้า)

กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วสวดเฉพาะพุทธคุณ ดังต่อไปนี้

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จาระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

ให้สวดพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ
เมื่อสวดพุทธคุณครบตามจำนวนจบที่ต้องการแล้ว จึงตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลดังนี้

คาถาแผ่เมตตาตนเอง

อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิดฯ

บทกรวดน้ำ (อุทิศส่วนกุศล)
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพสัตตา
– ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

<<จบบทสวด>>


คำแปล "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" มีอยู่ ๘ บท และมีความมุ่งหมายแตกต่างกันทั้งแปดบท กล่าวคือ

บทที่ ๑ สำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
บทที่ ๒ สำหรับเอาชนะใจคนที่กระด้างกระเดื่องเป็นปฏิปักษ์
บทที่ ๓ สำหรับเอาชนะสัตว์ร้ายหรือคู่ต่อสู้
บทที่ ๔ สำหรับเอาชนะโจร
บทที่ ๕ สำหรับเอาชนะการแกล้ง ใส่ร้ายกล่าวโทษหรือคดีความ
บทที่ ๖ สำหรับเอาชนะการโต้ตอบ
บทที่ ๗ สำหรับเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
บทที่ ๘ สำหรับเอาชนะทิฏฐิมานะของคน

เราจะเห็นได้ว่า ของดีวิเศษอยู่ในนี้ และถ้าพูดถึงการที่จะเอาชนะหรือการแสวงหาความมีชัย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
นอกเหนือไปจาก ๘ ประการที่กล่าวข้างต้น
ก่อนที่จะนำเอาตัวคาถาบทสวดมนต์และคำแปลมาไว้ให้จำจะต้องทำความเข้าใจคำอธิบายบทต่างๆ
ไว้พอสมควรก่อน เพราะความในคาถาเองเข้าใจยาก ถึงจะแปลออกมาก็ยังเข้าใจยากอยู่นั่นเอง เมื่อเราไม่เข้าใจ
เราอาจจะไม่เกิดความเลื่อมใส จึงควรจะหาทางทำความเข้าใจกันให้แจ่มแจ้งไว้ก่อน

ในบทที่ ๑. เป็นเรื่องผจญมาร ซึ่งมีเรื่องว่าพระยามารยกพลใหญ่หลวงมา พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถเอาชนะได้
จึงถือเป็นบทสำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
คำแปล- พระยามารผู้นิรมิตแขนได้ตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างชื่อ ครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะมารได้ ด้วยทานบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๒. เรื่องเล่าว่า มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่ออาฬะวกะ เป็นผู้มีจิตกระด้างและมีกำลังยิ่งกว่าพระยามาร
พยายามมาใช้กำลังทำร้ายพระองค์อยู่จนตลอดรุ่ง ก็ทรงทรมานยักษ์ตนนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะปฏิปักษ์หรือคู่ต่อสู้
คำแปล- อาฬะวกะยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความยับยั้ง มีฤทธิ์ใหญ่ยิ่งกว่าพระยามาร
เข้ามาประทุษร้ายอยู่ตลอดรุ่ง องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยขันติบารมี ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๓. มีเรื่องว่าเมื่อพระเทวทัตทรยศต่อพระพุทธเจ้า ได้จัดการให้คนปล่อยช้างสาร ที่กำลังตกมันชื่อนาฬาคีรี
เพื่อมาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เมื่อช้างมาถึงก็ไม่ทำร้าย จึงถือเป็นบทที่เอาชนะสัตว์ร้าย
คำแปล- ช้างตัวประเสริฐ ชื่อนาฬาคีรี เป็นช้างเมามัน โหดร้ายเหมือนไฟไหม้ป่า มีกำลังเหมือนจักราวุธ และสายฟ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยพระเมตตาบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๔. เป็นเรื่องขององคุลีมาล ซึ่งเรารู้กันแพร่หลาย คือ องคุลีมาลนั้นอาจารย์บอกไว้ว่า
ถ้าฆ่าคนและตัดนิ้วมือมาร้อยเป็นสร้อยคอ ให้ได้ครบพัน ก็จะมีฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่
องคุลีมาลฆ่าคนและตัดนิ้วมือได้ ๙๙๙ เหลืออีกนิ้วเดียวจะครบพัน ก็มาพบพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงสามารถเอาชนะถึงกับองคุลีมาลเลิกเป็นโจรและยอมเข้ามาบวช กลายเป็นสาวกองค์สำคัญองค์หนึ่ง
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะโจรผู้ร้าย
คำแปล- โจร ชื่อ องคุลีมาล มีฝีมือเก่งกล้า ถือดาบเงื้อวิ่งไล่พระองค์ไปตลอดทาง ๓ โยชน์
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๕. หญิงคนหนึ่งมีนามว่า จิญจมาณวิกา ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า โดยเอาไม้กลมๆ
ใส่เข้าที่ท้องแล้วก็ไปเที่ยวป่าวข่าวให้เล่าลือว่าตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ให้ความจริงปรากฏแก่คนทั้งหลายว่าเป็นเรื่องกล่าวร้ายใส่โทษพระองค์โดยแท้
จึงถือเป็นบทที่เอาชนะคดีความหรือการกล่าวร้ายใส่โทษ
คำแปล- นางจิญจมาณวิกาใช้ไม้มีสัณฐานกลมใส่ที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพื่อกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยวิธีสงบ ระงับพระทัยในท่ามกลางหมู่คน ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๖. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะสัจจะกะนิครนถ์ ซึ่งเป็นคนเจ้าโวหาร เข้ามาโต้ตอบกับพระพุทธเจ้า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะในการโต้ตอบ
คำแปล- สัจจะกะนิครนถ์ ผู้มีนิสัยละทิ้งความสัตย์ใฝ่ใจจะยกย่องถ้อยคำของตนให้สูงประหนึ่งว่ายกธงเป็นผู้มืดมัวเมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยรู้นิสัยแล้วตรัสเทศนาด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๗. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ให้พระโมคคัลลาน์ อัครมหาสาวกไปต่อสู้เอาชนะพระยานาคชื่อ นันโทปนันทะ
ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้มากหลาย จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
คำแปล- องค์พระจอมมุนี ได้โปรดให้พระโมคคัลลาน์เถระ นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพระยานาคชื่อ
นันโทปนันทะ ผู้มีฤทธิ์มากให้พ่ายแพ้ด้วยวิธีอันเป็นอุปเท่ห์แห่งฤทธิ์ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๘. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าสำคัญว่าตนเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถทำให้ผกาพรหมยอมละทิ้งทิฏฐิมานะ และยอมว่าพระพุทธเจ้าสูงกว่า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะทิฏฐิมานะของตน
คำแปล- พรหม ผู้มีนามว่า ท้าวผกา มีฤทธิ์และสำคัญตน ว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์
มีทิฏฐิที่ถือผิดรัดรึงอยู่อย่างแน่นแฟ้น องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ด้วยวิธีเทศนาญาณ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

คำแปล มหาการุณิโก

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

—————————————————————————————————————–

ที่มาและอานิสงส์ของบทสวดมนต์ ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหาการุณิโก
ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์
วัดป่าแก้ว ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุง มหากา
ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา เป็นประจำทุกๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ
เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้า ค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล
จะสมความปรารถนาทุกประการ

เมื่ออาตมา(หลวงพ่อจรัญ)ได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่งได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ
สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน
ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
"ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่าและประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย
จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยพระกรรมฐานมีสติอยู่เสมอเรื่องฝันฟุ้งซ่านก็เป็นไม่ม
ี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล
และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ และจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย
ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ
ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ
อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง
มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้าก็ยอมตาย
คนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๐๙.๐๐ น.
อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ
อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพร
ก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุงมหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วศรีอโยธเยศ
คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย
"พาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึงมหาการุณิโกนาโถหิตายะ
และจบลงด้วยภาวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆา นุภาเวนะสะทาโสตถี ภะวันตุเต"
อาตมา เรียกรวมกันว่าพาหุงมหากา
อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม
จึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลยแม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า
ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคนก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าด้วยการกระทำยุทธหัตถี
มีชัยเหนือพระมหาอุปราชาที่ดอนเจดีย์ปูชนียสถานแม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากัน
พระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปานแต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

อาตมาพบนิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมา ด้วยความสบายใจถึงปากปล่องที่ลงไปเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา
จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมาณวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว
ยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น
ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบเช่นกัน
โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนา
และยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง มหากาบรรจุไว้ในองค์พระและพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้วยการเจริญพาหุงมหากาจึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร
เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านได้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต
อันที่จริงถ้าเราทำบุญ เราจะได้ยินพระสวดคาถา "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" ให้เราฟังทุกครั้ง
บางทีเราจะเคยได้ยินพระสวดเจนหูเกินไปจนไม่นึกว่ามีความสำคัญ แท้จริงแล้วคาถาดังกล่าวนี้ มีของดีอยู่ในตัวให้เราใช้มากทุกบททุกตอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อ้างอานุภาพของพระพุทธเจ้าเพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่เรา ทุกตอนลงท้ายว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"
เวลาพระสวดให้เรา ท่านต้องใช้คำว่า "เต" ซึ่งแปลว่า "แก่ท่าน" แต่ถ้าเราจะเอามาสวดหรือภาวนาของเราเอง
เพื่อให้ชัยชนะเกิดแก่ตัวเราเอง เราก็จะต้องใช้ว่า "เม" ซึ่งแปลว่า "แก่ข้า" คือสวดว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเม
ชะยะมังคะลานิ"

Posted in Uncategorized | Leave a comment